ผู้ป่วยจิตเวช คุ้มคลั่งทำร้ายข้าวของภายในบ้าน ถึงที่เกิดเหตุ พบผู้ก่อเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ควบคุมตัวผู้ก่อเหตุ
จิตเวชก่อเหตุคลุ้มคลั่ง ก็ยังมีให้เห็นอยู่เกือบทุกวัน
วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ.2567เวลา 08:10 น.สภ.บ้านผือร.ต.อ.ไชยยศ เยาวรรรณ รองสวป.สภ.บ้านผือปฏิบัติหน้าที่ ร้อยเว20 พร้อมสายตรวจรถยนต์/สายฟ้าออกระงับเหตุ ที่บ้านหนองกุง-วังแสง ต.หายโศก อ.บ้านผือ จ.อุดรธานีเป็นเหตุ ผู้ป่วยจิตเวช คุ้มคลั่งทำร้ายข้าวของภายในบ้าน ถึงที่เกิดเหตุ พบผู้ก่อเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ควบคุมตัวผู้ก่อเหตุและนำส่งตัวรักษาที่โรงพยาบาลบ้านผือเพื่อทำการรักษาต่อไป ผู้แจ้งพอใจ เหตุการณ์สงบขอให้พี่น้องประชาชน
ได้ตระหนักถึงสาเหตุอันมาจากการใช้สารเสพติดสถาบันครอบครัว เป็นสิ่งสำคัญ ความรัก ความห่วงใย ของคนในครอบครัว จะเป็นรั้วป้องกันเป็นอย่างดีในลำดับแรก
หนุ่มอุดรหลอนยาถือมีดบุกวัดพญานาคให้พระช่วยบอกวิญญาณผีปอบคนตายโหงเข้าสิงทั้งพระชาวบ้านหนีตายจ้าละหวั่น
ชาวบ้านผวาหนุ่มอุดรคลั่งเสพยาล่อไป 1 เม็ดผสมกัญชา ถือมีดบุกวัดอาละวาด ผึ้งเข้าต่อยแม่หัวปูดต้องมาทำลาย วิ่งเข้าวัดหวังให้พระช่วย ทั้งพระฆราวาสตกใจวิ่งหนีตายจ้าละหวั่นจนสบงปลิว หนุ่มหลอนทุบทำลายวัดพญานาคไม่เลือกหน้าอ้างไล่วิญญาณคนตายโหงและผีปอบออกไป ตร.เข้ากล่อมบอกจะเอาผีปอบผีตายโหงออกให้ สุดท้ายยอมอ่อน
วันเสาร์ที่ 21 ธ.ค.67 เวลา 15.00 น.ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า ร.ต.อ.วิฆเนศ ซื่อตรง รอง สว(ปป.)สภ.เมืองอุดรธานี รับแจ้งว่ามีชายคลุ้มคลั่งถืออาวุธมีดวิ่งเข้าไปในวัดป่าหนองยาง ต.หนองนาคำ จ.อุดรธานี ทั้งพระและฆราวาสวิ่งหนีตายจ้าละหวั่น จึงรีบรุดไปยังที่เกิดเหตุทันที โดยภายในวัดป่าหนองยาง เจ้าหน้าที่พบนายสงคราม แสนคุ้ม หรือหนุ่ม อายุ 49 ปี นั่งอยู่กับพื้นไม่สวมเสื้อ ดูท่าอาการหลอนยาหนักมาก
ผู้สื่อข่าวจึงเดินเข้าไปถามเกิดอะไรขึ้น เจ้าตัวก็บอกว่าชื่อหนุ่ม เพิ่งพี้กัญชาและยาบ้าตั้งแต่เมื่อวานยังมีอาการหลอนอยู่ ต่อมาได้มีวิญญาณร้ายทั้งผีตายโหงและผีปอบเข้ามาสิงร่างตน และผึ้งพันๆ ตัวไปทำร้ายแม่ จึงถือมีดเข้ามาในวัดเพื่อให้พระช่วยปัดเป่าสั่งชั่วร้ายออกไป แต่พระตกใจตนเองเองไม่ได้ทำร้ายใครทั้งนั้น ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางมาถึง นายหนุ่มยังเล่าต่อว่าตอนนี้วิญญาณร้ายพร้อมผีปอบยังอยู่ในร่างตนอยู่ช่วยผมด้วย ตร.ก็เลยโชว์พระให้ดูและรับปากจะเอาออกให้ทั้งภูตผีปอบ วิญญาณคนตายโหง จากนั้นนายหนุ่มก็ยอมอ่อนเดินขึ้นท้ายรถกระบะสายตรวจไปสงบสติอารมณ์ แต่ปรากฏว่าพอถึงโรงพักอาการทรุดหนักเพราะพี้ทั้งกัญชาและยาบ้า หายใจรวยรินจะตายแหล่ไม่ตายแหล่ ตร.ต้องเรียกกู้ภัยรีบนำตัวนายหนุ่มรักษาตัวทันที
ด้าน พระอาจารย์หน่อง คันธสาโร อายุ 44 ปี พระลูกวัดป่าบ้านหนองยาง เล่าว่า ขณะที่อาตมากำลังทำการรื้อศาลากับญาติโยมอยู่นั้น ปรากฏว่า จู่ๆ ผู้ก่อเหตุทราบชื่อต่อมาคือนายหนุ่มอายุ 49 ปี ได้เดินถืออาวุธมีดปลายแหลมคมกริบ หน้าตาขึงขังตาขวางเข้ามาภายในวัด กวัดแกว่งไปมาเหมือนคนคลั่ง อาตมาและญาติโยมเห็นแบบนี้หลอนยาแน่ หอบสบงเผ่นแนบเลย ส่วนญาติโยมก็หนีแตกกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง ตั้งสติได้แล้วรีบแจ้งตร.มาระงับเหตุดังกล่าว ยอมรับตกใจคนหลอนยาคนคลั่งแบบนี้ไม่เข้าท่าแล้ว ดีที่โยมคนนี้ยังไม่ทำร้ายใครตร.มาระงับเหตุได้ก่อน หากคลั่งกว่านี้คงมีศพจากคนหลอนยาแน่อน
บุกจับ ผอ.พรรคประชาชน ปราจีนบุรี เจอปืนเถื่อน-เครื่องกระสุนจำนวนมาก
ตำรวจชุดสืบสวนภาค 2 บุกตรวจค้นบ้านผู้อำนวยการพรรคประชาชนจังหวัดปราจีนบุรี แจ้งข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
วันที่ 19 ธันวาคม 2567 มีรายงานว่า ตำรวจชุดสืบสวนภาค 2 ได้รับคำสั่งจาก พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 นำหมายศาลเข้าตรวจค้นบ้านพัก ในพื้นที่อำเภอศรีมหาโพธิของ นายสุเมธ เหรียญพงษ์นาม เป็นผู้อำนวยการพรรคประชาชนจังหวัดปราจีนบุรี
จากการตรวจค้นภายในที่บ้านพักและรถยนต์ พบอาวุธปืน 5 กระบอก เป็นปืนที่ไม่มีใบอนุญาต 2 กระบอก และเครื่องกระสุนปืนจำนวนมาก ตำรวจจึงคุมตัว นายสุเมธ มาสอบปากคำที่ สภ.ระเบาะไผ่
นายสุเมธ ยอมรับ ปืนทั้งหมดมีทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย แต่ปืนบางกระบอกเป็นของสมาชิกครอบครัว ไม่ใช่ของตัวเอง เชื่อเหตุการณ์ถูกตรวจค้นครั้งนี้เป็นผลพวงจากการที่ตัวเองเคลื่อนไหวเรื่องแรงงานต่างด้าว และเรื่องสิ่งแวดล้อมในพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี ไม่เกี่ยวข้องการเมืองท้องถิ่น แต่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อ จึงอายัดปืนบางส่วนตรวจสอบหาเจ้าของปืนต่อไป เบื้องต้นแจ้งข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
สำหรับ นายสุเมธ เป็นอดีตผู้ช่วย สส.พรรคก้าวไกล ปัจจุบันเป็นผู้บริหารในการจัดส่งผู้สมัครเลือกตั้งทั้ง นายก อบจ.และ สจ.ที่จะมีการรับสมัครรับเลือกตั้งในวันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม 2567 นี้ด้วย
ล้างบางมาเฟียปราจีนบุรี บุกค้น 5 จุด เครือข่าย “โกทร” ยังไร้เงา “ผู้ใหญ่แอ้ด-นายโจ้””
ปราจีนบุรี - เริ่มแล้ว ปฏิบัติการล้างบางมาเฟียปราจีนฯ ตำรวจกองปราบปราม ผนึกกำลังสืบสวนภูธรภาค 2 และภูธรปราจีนบุรีกว่า 100 นาย บุกตรวจค้น 5 เป้าหมายเครือข่าย “โกทร” คุมตัวเลขาฯคนสนิท สอบหาความเชื่อมโยงคลี่คลายปมสังหารโหด สจ.โต้ง ยังไร้เงา “ผู้ใหญ่แอ้ด-นายโจ้” หลังพบมีการเข้าออกบ้านโกทร ก่อนคืนสังหาร เพียงไม่นาน
ภายหลังตำรวจจับกุมนายสุนทร วิลาวัลย์ หรือโกทร นายก อบจ.ปราจีนบุรี อดีต รมช.สาธารณสุข พ่อนางกนกวรรณ วิลาวัลย์ อดีต รมช.ศึกษาธิการ และลูกน้องอีก 6 คน ร่วมกันสังหารโหดนายชัยเมศร์ สิทธิสนิทพงศ์ หรือ สจ.โต้ง ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา วันที่ 15 ธันวาคม 2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายหน่วยงานประกอบด้วย กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 กองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรี หน่วยปฏิบัติการพิเศษปราจีนบุรี และตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกันเปิดภารกิจทลายรังนักเลง EP.1 "ล้างบาง มาเฟีย ปราจีน" สืบเนื่องจากเหตุสังหารนายชัยเมศร์ สิทธิสนิทพงศ์ หรือ สจ.โต้ง คาบ้านนายสุนทร วิลาวัลย์ หรือโกทร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี โดยวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา จนนำมาสู่การดำเนินคดีนายสุนทรพร้อมพวกรวม 7 คน ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
เปิดพฤติการณ์ ลวงสังหาร ส.จ.โต้ง ‘โกทร’ เตรียมคน-อาวุธถล่ม ก่อนเรียกลูกบุญธรรมมาบ้าน..”
เปิดพฤติการณ์ สังหารโหด สจ.โต้ง ชี้ทั้ง 7 วางเเผนจัดเตรียมคน-อาวุธถล่ม ชนวนเหตุการเมืองเลือกตั้ง นายก อบจ. ศาลไม่ให้ประกัน เหตุพฤติการณ์อุกอาจเกรงจะไปยุ่งกับพยานหลักฐานเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ที่ศาลจังหวัดปราจีนบุรี พนักงานสอบสวน สภ.อ.ปราจีนบุรี ได้นำตัวนายธนศรัณย์ หรือ กอล์ฟ อายุ 32 ปี มือยิง , นายศักดิ์สิทธิ์ หรือ ตูน อายุ 34 ปี มือยิง, นายธนภัทร อายุ 18 ปี , นายอภิสิทธิ์ อายุ 34 ปี , นายสิทธิชัย อายุ 41 ปี , นายภัทรนนท์ อายุ 38 ปี ,นายสุนทร วิลาวัลย์ หรือ โกทร อายุ 85 ปี มายื่นคำร้องฝากขังครั้งเเรกต่อศาลเป็นเวลา 12 วันคำร้องฝากขัง ระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม เวลาประมาณ 20.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองปราจีนบุรี ได้รับแจ้งมีเหตุได้ยินเสียงอาวุธปืน จำนวนหลายนัด ที่บ้าน ถนนโรมันอุทิศ ต.หน้าเมือง อ.เมืองปราจีนบุรี จ.ปราจีนบุรี จึงได้ร่วมกันไปตรวจสอบที่บ้านดังกล่าว เมื่อไปถึงบริเวณหน้าบ้านมีลักษณะสามชั้น มีรั้วรอบไว้ทุกด้านเปิดประตูไม่ได้ จึงได้วางกำลังปิดล้อมไว้และรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบจากนั้นเมื่อผู้บังคับบัญชาเดินทางมาถึง จึงได้มีการเจรจากับคนที่ดูแลบ้าน เบื้องต้นยินยอมให้เฉพาะเจ้าพนักงานตำรวจ เข้าไปในบ้านเพื่อตรวจสอบเหตุ เมื่อเข้าไปในบริวเณบ้านได้แล้ว พบ นายสุนทร วิลาวัลย์ ผู้ถูกจับกุมที่ 7 อยู่บริเวณหน้าบ้านนอกตัวบ้านและเมื่อเข้าไปในตัวบ้านก็พบ นายสิทธิชัย ผู้ถูกจับกุมที่ 5 และ นายภัทรนนท์ ผู้ถูกจับกุมที่ 6 อยู่ที่ห้องโถงชั้นล่าง และพบศพนายชัยเมศร์ สิทธิสนิทพงศ์ หรือ ส.จ.โต้ง นอนอยู่บริเวณบันไดทางขึ้น ปลายเท้าอยู่ตรงบันได และ พบปลอกกระสุนหลายนิดและหลายขนาด อยู่ข้างศพ โดยนอนหงายปลายเท้าอยู่ที่บันได และพบแม็กกาซีนแบบยาวขนาด 9 มม.ตกอยู่หนึ่งอัน ใต้โซฟา และร่องรอยกระสุนปืนที่พื้น ใกล้กับศพผู้ตาย จากนั้นขึ้นไปตรวจสอบบนชั้นที่ 2 ของบริเวณบ้านดังกล่าวจากนั้นจึงพากันไปบันไดไปตรวจสอบบริเวณชั้นที่ 2 ของบ้าน เมื่อไปพบกับนายธนศรัณย์ ผู้ถูกจับที่ 1 ให้การเบื้องต้น ได้ใช้อาวุธปืนพกสั้น ออโตเมติก ขนาด 9 มม.ยิงผู้ตาย และอาวุธปืนยาว ลูกซองขนาด 12 วางอยู่ที่พื้นใกล้กับบันได และ นายศักดิ์สิทธิ์ ผู้ถูกจับที่ 2 ให้การเบื้องต้นว่า ใช้อาวุธปืนลูกยาว ของกลางรายการที่ 2 ที่วางอยู่ที่พื้นยิงผู้ตาย ในที่เกิดเหตุ โดยผู้ถูกจับกุมที่ 1,2 ให้การอีกว่าที่ต้องยิงผู้ตายเพราะว่า เกิดทะเลาะกับผู้ตายในที่เกิดเหตุ และ พบนายธนภัทร ผู้ถูกจับที่ 3 และ นายอภิสิทธิ์ ผู้ถูกจับที่ 4 อยู่บนชั้นที่ 2 ของบ้าน บริเวณห้องนอนใหญ่ขึ้นบันไดอยู่ทางขวามือ ของบ้านหลังดังกล่าว จึงควบคุมตัวผู้ถูกจับกุมที่ 1-4 ไว้ จากนั้นจึงได้รายงานเหตุเบื้องต้นให้กับผู้บังคับบัญชาทราบ จากนั้นพนักงานสอบสวนและพิสูจน์หลักฐานและแพทย์ก็มาตรวจสถานที่เกิดเหตุ และชันสูตร เจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุม จึงได้นำตัวผู้ถูกจับกุมที่ 1-7 มายัง สภ.เมืองปราจีนบุรี และแจ้งให้กับผู้ถูกจับทราบว่าจะต้องถูกจับกุม ในความผิดฐาน “ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ร่วมกันมีอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเนื่องจากคดีมีพฤติการกระทำที่อุกอาจร้ายแรงไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย เป็นอันตรายต่อสังคม และเชื่อว่าผู้ถูกจับกุมที่ 1-7 รู้เห็นเป็นใจ และมีการแบ่งหน้าที่กันทำ และ มีส่วนร่วมกันในการกระทำผิด โดยผู้ถูกจับกุมที่ 7 เป็นเจ้าของบ้าน และนัดหมายให้ผู้ตายมาพบที่บ้านที่เกิดเหตุ จึงเชื่อว่า มีการร่วมกันกระทำผิดในคดีนี้ และเกรงว่าผู้กระทำผิดจะหลบหนี หยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรืออาจก่อเหตุร้ายประการอื่น และไม่อาจจะขอหมายจับจากศาลได้ จึงต้องจับกุมตัวผู้ต้องหาที่ 1-7 เพื่อนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองปราจีนบุรี เพื่อดำเนินคดีให้ได้รับโทษตามฎหมายผู้ถูกจับกุมที่ 1,2 รับว่า ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตายจริง ส่วนผู้ต้องหาที่ 3-7 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา จากนั้นจึงบันทึกจับกุมตัว และนำตัวผู้ต้องหาพร้อมด้วยของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองปราจีนุนรี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อมาวันที่ 13 ธันวาคม ได้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม หรือฐานความผิด รายละเอียดข้อเท็จจริงในคดีเพิ่มเติมให้ผู้ต้องหา ทราบตามที่ได้แจ้งให้ทราบก่อนหน้านี้ และพนักงานสอบสวนได้แจ้งพฤติการณ์และข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ให้ผู้ต้องหาทราบว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายกับผู้ต้องหาที่ 7 มีความสนิทสนมกันเป็นอย่างมาก จนผู้ตายบอกกับใครๆว่าเป็นลูกบุญธรรมของผู้ต้องหาที่ 7 ต่อมาผู้ตายกับผู้ต้องหาที่ ได้มีการขัดแย้งทางการเมืองกันอย่างรุนแรง เพื่อรับเลือกตั้งเป็นนายกและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งจะมีการเลือกตั้งภายในปี พ.ศ.2567 ที่จะถึงนี้ โดยผู้ตายประสงค์จะให้ภรรยาลงรับสมัครเลือกตั้งในตำแหน่งดังกล่าวส่วนผู้ต้องหาที่ 7 จะส่งบุคคลอื่นลงรับสมัครเลือกตั้งดังกล่าว สร้างความไม่พอใจและทำให้เกิดความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ทำให้ต่างฝ่ายต่างระมัดระวังตัวว่าจะถูกลอบทำร้าย จึงได้มีการตระเตรียมกำลังคน อาวุธและเครื่องกระสุนปืนไว้ ในวันเกิดเหตุวันที่ 11 ธ.ค.2567 ผู้ต้องหาที่ 1-7 ได้วางแผนที่จะฆ่าผู้ตาย โดยแบ่งหน้าที่กันทำ ทั้งจัดเตรียมกำลังคน อาวุธปืนร้ายแรงและเครื่องกระสุนจำนวนมาก จึงนัดหมายให้ผู้ตายมาพบผู้ต้องหาที่ 7 ที่สำนักงานที่ตั้งอยู่ใกล้กับบ้านพักที่เกิดเหตุ แต่ไม่พบผู้ต้องหาที่ 7 ผู้ตายกับพวก จึงได้พากันเดินไปที่บ้านพักของผู้ต้องหาที่ 7 โดยผู้ต้องหาที่ 7 ได้ออกมาพบผู้ตายที่บริเวณหน้าบ้านพัก และได้มีปากเสียงกันอย่างรุนแรงโดยระหว่างนั้นผู้ต้องหาที่ 1-6 ก็ได้หลบซุ่มรอก่อเหตุอยู่ภายในห้อง และภายในบริเวณบ้านที่เกิดเหตุ เมื่อการโต้เถียงกันเสร็จสิ้นล งเหมือนจะทำความเข้าใจระหว่างกันได้แล้ว ผู้ตายจึงได้เข้าไปภายในบ้านพักเพื่อจะไปส่งผู้ต้องหาที่ 7 เข้านอน และพูดคุยกันตามปกติที่เคยทำมาโดยตลอด โดยระหว่างนั้นผู้ต้องหาที่ 1-6 ได้แบ่งหน้าที่และแบ่งกำลังกัน โดยเตรียมอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ก่อเหตุ ได้ดักรอผู้ตายอยู่ภายในห้องพักบนชั้นที่ 2 ของบ้านที่เกิดเหตุ ส่วนผู้ต้องหาที่ 5-6 รออยู่ที่บริเวณชั้นล่างของบ้านพัก เมื่อผู้ตายพูดคุยกับผู้ต้องหาที่ 7 เสร็จสิ้น ก็ออกจากห้องพักของผู้ต้องหาที่ 7 กำลังเดินลงบันไดเพื่อลงมาที่ชั้นล่าง ระหว่างนั้นผู้ต้องหาที่ 1-6 ได้ใช้อาวุธปืนของกลาง ยิงใส่ผู้ตายหลายนัด จนตกลงมานอนเสียชีวิต ที่บริเวณทางขึ้น-ลงบันได หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ไปเข้าตรวจสอบในที่เหตุ และจับกุมผู้ต้องหาที่ 1-7 พร้อมตรวจยึดอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน ปลอกกระสุนปืนจำนวนมากที่ใช้ก่อเหตุ ที่อยู่ในที่เกิดเหตุ นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายสำหรับของกลางที่ตรวจยึดได้คือ 1.อาวุธบินสั้นกึ่งอัตโนมัติขนาด 9 มม.ยี่ห้อGlockoat สีดำ พร้อมแม็กกาซีน1 อัน บรรจุอยู่ในตัวปืนพร้อมเครื่องกระสุนปืนขนาด 9 มม. จำนวน 122นัด และ 1 นัดอยู่ในรัมพลิง รวมเครื่องกระสุนปืน จำนวน 53นัด 2.ปืนกลมือกึ่งอัตโนมัติ ขนาด 9 มม. ยี่ห้อ EMTAN ISRAEL สีดำ จำนวน 1 กระบอก ขนาด 9มม. พร้อมแม็กกาซีน 1 อัน บรรจุอยู่ในตัวปืนพร้อมเครื่องกระสุนปืน ขนาด 9มม. จำนวน 27นัด และ 1นัดอยู่ในรังเพลิง รวมเครื่องกระสุนปืน จำนวน 28 นัด 3.แม็กกาชีน GLOCK 1 อัน เครื่องกระสุนขนาด 9มม.จำนวน 15 นัด บรรจุในแม็กกาซีน เครื่องกระสุนปืนขนาด 9มม. จำนวน 28 นัด บรรรจุในแม็กกาชีน ROCK ISLAND 1 อัน เครื่องกระสุนปืนขนาด .45 ACP. จำนวน 13นัด4.ปืนพก กึ่งอัตโนมัติ ยี่ห้อ ROCK ISLAND ขนาด.45 ACP. สีเทา-ดำ เครื่องกระสุนปืนปีนขนาด.45ACP. บรรรจุในแม็กกาขึ้น 1นัดในรังเพลิง รวมเครื่องกระสุนปืน จำนวน 13นัด 5.ปืนรีวอลโว่ แบบลูกโม่ ยี่ห้อ SMITH & & WESSON ขนาด 357สีเงิน พร้อมด้วยเครื่องกระสุนปืน ขนาด .357บรรจุในลูกโม่ จำนวน 6นัด นัด ซุกซ่อนอยู่ในกระเป้าสะพายข้างสีเทา-ดำ ซุกซ่อนอยู่บริเวณเคาท์เตอร์ภายในห้องโถง6.เครื่องกระสุนปืน ขนาด 9มม. จำนวน 34นัด บรรจุในกล่อง เครื่องกระสุนปืน ขนาด 9 มม. จำนวน377นัด บรรจุอยู่ในกล่อง ซุกซ่อนอยู่ในกระเป้าสะพายข้าง ดำ ซุกซ่อนอยู่บริเวณเคาท์เตอร์ภายในห้องโถง 7.เสื้อคลุมสีดำเเขนยาวมีหมวกคลุม 8.อาวุธป็นสั้นถึงอัตโนมัติขนาด 9มม.ยี่ห้อ Glock 19 สีดำไม่ได้บรรจุเครื่องกระสุนปืน วางแอบซ่อนอยู่ใต้หมอนภายในห้องพักชั้นสามพร้อมแม็กกาชีน 3 อัน 9.ปืนพกกึ่งอัตโนมัติยี่ห้อ บาเร็ตต้า ขนาด 9 มม. สีดำ ไม่ได้บรรจุเครื่องกระสุนปืน พร้อมแม็กกาชีน 2 อัน และ 10.ซิฟเวอร์กล้องวงจรปิด สีดำ 1 เครื่องการกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดฐาน “ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต” ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ,288 ,289(4) พรบ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน มาตรา 4,7,8,72,72ทวิ อัตราโทษ ต้องระวางโทษประหารชีวิต ในชั้นจับกุมเเละสอบสวนผู้ต้องหา 1-2 ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ผู้ต้องหาที่ 3-7 ให้การปฏิเสธ โดยผู้ร้องยังต้องสอบพยานอีก 6 ปาก รอผลตรวจรายนิ้วมือประวัติอาชญกรรมผู้ต้องหา รอผลตรวจพิสูจน์ของกลางจึงขออนุญาตศาลฝากขังครั้งเเรกในท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนขอคัดค้านการปล่อยชั่วคราว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง เชื่อว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี , ผู้ต้องหาจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน เนื่องจากเป็นคดีมีอัตราโทษสูงกระทำผิดเป็นอุกอาจร้ายแรง อุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญเป็นการกระทำ ในลักษณะของผู้มีอิทธิพลไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย และความสงบเรียบร้อยของประชาชนในพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี หากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจะหลบหนียุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือเหตุร้ายประการอื่น อาจมีการข่มขู่พยาน ทำให้ความเสียหายร้ายแรงต่อการสอบสวนดำเนินคดีโดยผู้เสียหายเเละพยานในคดีก็ขอคัดค้าน เนื่องจาก คดีมีอัตราโทษสูงเชื่อว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี,ผู้ต้องหาจะไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐานด้วยศาลพิจารณาเเล้วอนุญาตฝากขังเป็นเวลา 12 วัน โดยภายหลังผู้ต้องหาที่ 3-7 ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ส่วนผู้ต้องหาที่ 1-2 ไม่ยื่นคำร้อง โดยคดีนี้มีการตีราคาประกัน 4-8 เเสนบาทต่อคน ศาลพิจารณาเเล้วไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว เนื่องจากพฤติการณ์ตามคำร้องเป็นพฤติการณ์ที่อุกอาจ เเละเป็นที่สนใจของประชาชน เกรงว่าผู้ต้องหาทั้งหมดจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ประกอบกับผู้เสียหายค้านการประกันตัว หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหา เกรงว่าผู้ต้องหาทั้งหมดจะหลบหนี แม้ผู้ต้องหา ที่ 7 มีโรคประจำตัวแต่ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ก็ให้อำนาจราชทัณฑ์ อนุญาตให้ไปรักษาตัวนอกเรือนจำได้ ในชั้นนี้จึงให้ยกคำร้อง ของผู้ต้องหาทั้ง 7 หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่กุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 7 ไปคุมขังยังเรือนจำระหว่างฝากขังต่อไป..
โดน 4 ข้อหา หนุ่มเก๋งแดง แหกด่าน บก.จร. ตำรวจ สน.บางเขน ปล่อยตัวชั่วคราว”
ตำรวจพาหนุ่มซิ่งเก๋งมาสด้า
2 สีแดง ฝ่าด่านตรวจ บก.จร. มาชี้รถคันก่อเหตุ แจ้ง 4 ข้อหา เมาแล้วขับ
ทำให้เสียทรัพย์ ฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงาน
และขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย ปล่อยตัวชั่วคราว
กรณีตำรวจ
บก.จร. 7 นาย นำโดย ร.ต.อ.ทวีพงษ์ อืดทุม รอง สว.งานสายตรวจ 1 กก.1 บก.จร.
จับกุมและรุมทำร้ายนายธนานพ เกิดศรี อายุ 33 ปี ลูกชาย พ.ต.ท.ธนชัย
เกิดศรี อายุ 61 ปี อดีต สว.กก.2 บก.ปทส. บาดเจ็บสาหัส
เพราะเข้าใจผิดคิดว่าขับรถแหกด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์
เหตุเกิดใกล้ด่านตรวจบริเวณซอยประเสริฐมนูกิจ 21 แขวงเสนานิคม เขตจตุจักร
กทม. เมื่อช่วงดึกวันที่ 4 ธ.ค. ที่ผ่านมา
ล่าสุดนายธนายุทธ
กรึงไกร อายุ 37 ปี คนขับรถเก๋งมาสด้า 2 สีแดง ทะเบียน 4ขฉ 6873
กรุงเทพมหานคร รถคันก่อเหตุที่ขับหลบหนีแหกด่าน
พร้อมทนายความเดินทางเข้ามอบตัวกับ พ.ต.ท.กันตพัฒน์ ประเศรษฐสุด
สว.(สอบสวน) สน.บางเขน เมื่อช่วงค่ำวันที่ 9 ธ.ค. 67
ต่อมาเวลา
21.30 น. วันที่ 9 ธันวาคม 2567 หลังจากพนักงานสอบสวนนายธนายุทธ เกือบ 3
ชั่วโมง ได้พามาชี้และถ่ายรูปรถเก๋งมาสด้า 2 สีแดง ทะเบียน 4ขฉ 6873
กรุงเทพมหานคร คันที่ก่อเหตุ และพิมพ์ลายนิ้วมือ
พนักงานสอบสวนดำเนินคดี 4 ข้อหา คือ เมาแล้วขับ ทำให้เสียทรัพย์ ฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงาน และขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย
จากนั้นพนักงานสอบสวนได้ปล่อยตัวนายธนายุทธ
โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ประกัน เนื่องจากผู้ต้องหามามอบตัว
ไม่มีเจตนาหลบหนี พร้อมกับนัดให้ไปส่งฟ้องศาลแขวงพระนครเหนือ วันที่ 11
ธ.ค. นี้ ก่อนที่นายธนายุทธจะขับรถกลับบ้านไป
ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามที่มาที่ไปของเหตุการณ์ที่เกิด แต่นายธนายุทธก็ไม่ตอบคำถามแต่อย่างใด
หนุ่มขับเก๋งแดงแหกด่าน มอบตัว ต้นเหตุ 7 ตำรวจจราจร ปม “จำผิดคันกระทืบผิดคน”
หนุ่มขับรถเก๋งมาสด้า 2 สีแดง แหกด่าน พร้อมทนาย เข้ามอบตัวรับทราบข้อหา ต้นเหตุ 7 ตำรวจจราจรกลางใช้อาญาเถื่อน ปม “จำผิดคันกระทืบผิดคน”
กรณีตำรวจ บก.จร. 7 นาย นำโดย ร.ต.อ.ทวีพงษ์ อืดทุม รอง สว.งานสายตรวจ 1 กก.1 บก.จร. จับกุมและรุมทำร้ายนายธนานพ เกิดศรี อายุ 33 ปี ลูกชาย พ.ต.ท.ธนชัย เกิดศรี อายุ 61 ปี อดีต สว.กก.2 บก.ปทส. บาดเจ็บสาหัส เพราะเข้าใจผิดคิดว่าขับรถแหกด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ เหตุเกิดใกล้ด่านตรวจบริเวณซอยประเสริฐมนูกิจ 21 แขวงเสนานิคม เขตจตุจักร กทม. เมื่อช่วงดึกวันที่ 4 ธ.ค. ที่ผ่านมา ล่าสุดคนขับรถฝ่าด่านได้ประสานขอมอบตัวกับตำรวจวันที่ 9 ธ.ค. 67
ต่อมาเมื่อเวลา 18.20 น. วันที่ 9 ธันวาคม 2567 นายธนายุทธ กรึงไกร อายุ 37 ปี หัวหน้าเจ้าหน้าที่ควบคุมรถไฟฟ้าของแอร์พอร์ตเรลลิงก์ ขับรถเก๋งมาสด้า 2 สีแดง ทะเบียน 4ขฉ 6873 กรุงเทพมหานคร รถคันก่อเหตุที่ขับหลบหนีแหกด่าน พร้อมทนายความเดินทางเข้ามอบตัวกับ พ.ต.ท.กันตพัฒน์ ประเศรษฐสุด สว.(สอบสวน) สน.บางเขนเจ้าของคดี เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา เมาสุราในขณะขับรถ ขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน ทำให้เสียทรัพย์
นายธนายุทธ กล่าวก่อนเข้าพบพนักงานสอบสวน ว่าขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อถามเมาสุราหรือไม่ กลับปฏิเสธตอบคำถาม อ้างขอพบพนักงานสอบสวนก่อน
สสจ.อุดรธานี ตรวจร้านนวดมรณะ ผจก.ปัดที่ร้านไม่มีนวดบิดคอ หักคอ เต็มที่แค่ดัดเอว
เหยื่อร้อง “มูลนิธิปวีณาฯ” ถูกสาวนายหน้าหลอกอ้างพาไปทำงานฟาร์มเก็บไส้เดือนประเทศแคนาดา รายได้ 3,800-4,500 บาทต่อวัน หลงเชื่อกู้หนี้ยืมสินจ่ายค่าดำเนินการคนละ 1.5 แสนบาท รอนานนับปียังไม่ได้เดินทางสุดท้ายบ่ายเบี่ยงอ้างติดปัญหา ตรวจสอบพบจัดหางานทิพย์นายหน้าสาวเชิดเงินหนี แถมท้าทายให้แจ้งความอ้างไม่กลัวมีผู้ใหญ่หนุนหลัง มีผู้ตกเป็นเหยื่อกว่า 40 ราย เสียหายกว่า 6 ล้านบาท “ปวีณา” แนะตรวจสอบข้อมูลก่อนจ่ายเงินทำงานต่างประเทศ ประสาน ปคม. ติดตามล่าสาวแสบรับโทษ
นายหน้าสาวตุ๋นเหยื่อไปทำงานต่างประเทศสุดท้ายหอบเงินหนี รายนี้เปิดเผยเมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 8 ธ.ค. ที่มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี กลุ่มผู้เสียหายกว่า 40 ราย จากหลายจังหวัดทั่วประเทศ รวมตัวเข้าร้องทุกข์ต่อนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ เพื่อขอความช่วยเหลือ เนื่องจากถูกสาวแสบอ้างเป็นนายหน้าจัดหางานหลอกไปทำงานภาคเกษตร ที่ประเทศแคนาดา อ้างรายได้ดีกู้หนี้ยืมสินมาจ่ายค่าดำเนินการแต่สุดท้ายนายหน้าบ่ายเบี่ยงและเชิดเงินหนี รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 6 ล้านบาท
นายดำรงศักดิ์ ผมวิเศษ อายุ 43 ปี ชาว จ.สมุทรปราการ หนึ่งในผู้เสียหาย กล่าวว่า ทำงานโรงงานแห่งหนึ่งแต่รายได้ไม่พอรายจ่ายเลี้ยงดูครอบครัว ช่วงเดือน ก.ย.66 มองหางานในโซเชียลพบผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งชื่อ “หนูนา” โพสต์เชิญชวนคนไทยไปทำงานที่ประเทศแคนาดา เป็นงานถูกกฎหมายผ่านวีซ่า work permit 2 ปี เป็นงานฟาร์มเก็บไส้เดือน รายได้ต่อวัน 3,800-4,500 บาท (ไม่รวมโอที) เห็นว่ารายได้ดีแชตติดต่อไปหนูนาอ้างว่าเคยส่งคนไปทำงานที่เกาหลีเก็บเงินกลับมาตั้งตัวได้ดูน่าเชื่อถือ ให้รีบจองคิวเพราะมีผู้อยากไปทำงานหลายคน แต่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการคนละ 150,000 บาท ตนหลงเชื่อรีบโอนเงินก้อนแรกเพื่อจองคิว 50,000 บาทจากนั้นช่วงเดือน ต.ค.66 หนูนานัดให้ไปหาที่ออฟฟิศในซอยรามคำแหง
166 เพื่อเซ็นเอกสารและจ่ายค่าดำเนินการอีก 100,000 บาท
ให้ไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งพร้อมกับคนที่จะเดินทางไปแคนาดาด้วยประมาณ
20 คน และจ่ายค่าตรวจร่างกายคนละ 6,900 บาท
ระบุว่าถ้าตรวจร่างกายไม่ผ่านจะคืนเงินให้ทั้งหมด
จากนั้นให้รอกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบปียังไม่ได้ทำวีซ่า ช่วงเดือน ก.ย.67
โทร.ถามหนูนาอ้างติดปัญหาต่างๆ
เริ่มสงสัยร่วมกับผู้เสียหายรายอื่นตรวจเช็กชื่อบริษัทนายจ้างที่แคนาดา
ปรากฏไม่มีอยู่จริงจึงรู้ว่าถูกหลอก“ผมและผู้เสียหายหลายคนเครียดจัดเพราะต้องติดหนี้สินญาติพี่น้องและนายทุนเงินกู้ที่ไปหยิบยืมมา
บางคนเอาที่นา เอาบ้าน รถยนต์ไปจำนองเพื่อหาเงินมาจ่าย
หวังว่าได้เดินทางไปทำงานจะมีเงินมาใช้หนี้แต่สุดท้ายต้องมาเจอแบบนี้แทบสิ้นเนื้อ
ประดาตัว ขณะที่หนูนาอ้างเป็นตัวแทน
บริษัทจัดหางานกลับเชิดเงินไป
เมื่อทวงถามยังบอกถ้าใครมีปัญหาให้ไปแจ้งความและไปฟ้องร้องได้เลย
เพราะไม่กลัวเนื่องจากมีผู้ใหญ่ที่รู้จักหนุนหลังอยู่
พวกผมไม่รู้จะทำอย่างไร รวมตัวกันมาร้องขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิปวีณาฯ”
นายดำรงศักดิ์กล่าว
นางปวีณากล่าวว่า
กรณีหลอกให้ไปทำงานมีมานานแล้วและยังคงมีการหลอกมาอยู่ตลอด
ผู้เสียหายหลงเชื่อต้องไปกู้เงินมาทำให้เป็นหนี้เป็นสิน
สำหรับเคสนี้ผู้เสียหายกว่า 40 ราย
ฝากเตือนพี่น้องประชาชนที่ต้องการเดินทางไปทำงานต่างประเทศ
ต้องตรวจสอบข้อมูลให้ดีก่อน ก่อนตัดสินใจให้ตรวจสอบกับกรมการจัดหางาน
กระทรวงแรงงานให้แน่ใจ จากนี้จะประสาน พล.ต.ต.ศารุติ แขวงโสภา ผบก.ปคม.
มอบหมายให้นายเอกภาพ หงสกุล ผู้อำนวยการมูลนิธิปวีณาฯ
พาผู้เสียหายทั้งหมดเดินทางไปแจ้งความที่กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์
(ปคม.) เพื่อเร่งติดตามตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีต่อไป
สสจ.อุดรธานี ตรวจร้านนวดมรณะ ผจก.ปัดที่ร้านไม่มีนวดบิดคอ หักคอ เต็มที่แค่ดัดเอว
สสจ.อุดรธานี ลงตรวจร้านนวดมรณะ เหตุ “ผิง ชญาดา” เสียชีวิต ผจก.ร้าน เข่าอ่อน ปัดที่ร้านไม่มีบริการนวดบิดคอ หักคอ เพราะมันอันตราย ชี้เต็มที่ก็แค่ดัดเอว พร้อมระบุจำไม่ได้ ใครนวดให้ผู้เสียชีวิตเป็นคนแรก ยอมรับเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
จากกรณี ผิง ชญาดา นักร้องลูกทุ่งหมอลำสาว ชาว ต.บ้านแดง อ.พิบูลรักษ์ จ.อุดรธานี ไปนวดคอ บ่า ไหล่ ที่ร้านนวดแผนโบราณ ริมสวนสาธารณะหนองประจักษ์ เขตเทศบาลนครอุดรธานี 3 ครั้ง มีการหักคอ 2 ครั้ง ทำให้แขนและขาชา ป่วยเป็นอัมพาต ติดเตียงและเป็นเจ้าหญิงนิทรา เสียชีวิตเมื่อเช้าวันที่ 8 ธันวาคม 2567 โดยเพจเฟซบุ๊กของรถแห่ โอปอมิวสิค อุดรธานี ได้โพสต์รูปภาพน้องผิง ชญาดา พร้อมข้อความ โพสต์ไว้อาลัย ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ต่อมาเวลา 14.00 น. วันที่ 8 ธันวาคม 2567 ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่ร้านนวดแผนโบราณแห่งหนึ่ง ริมสวนสาธารณะหนองประจักษ์ศิลปาคม ถนนเทศา เขตเทศบาลนครอุดรธานี ซึ่งถูกระบุว่าเป็นร้านนวดที่น้องผิง ชญาดา ภูพร้าว อายุ 20 ปี นักร้องลูกทุ่งหมอลำสาว มาใช้บริการ ก่อนมีอาการกระดูกคอทับเส้นประสาท แขนขาชา เป็นอัมพาต และเป็นเจ้าหญิงนิทราเสียชีวิตในที่สุดเมื่อเดินทางไปถึง พบ น.ส.สุมิญชยา สังฆทิพย์
นักวิชาการสาธารณสุขปฏิบัติศูนย์สนับสนุนบริการสุขภาพที่ 8 อุดรธานี
นางศุทธินี เหลือวงศ์ หัวหน้ากลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคและเภสัชสาธารณสุข
จ.อุดรธานี นายสมชาย ชิณวานิชย์เจริญ
หัวหน้ากลุ่มงานการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก สำนักงานสาธารณสุข
จ.อุดรธานี พร้อมคณะ เดินทางมาตรวจร้านนวดเพื่อสุขภาพดังกล่าว
ว่ามีใบขึ้นทะเบียนเป็นผู้ให้บริการในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ
ประเภทนวดเพื่อสุขภาพพบหมอนวด 2 คน มีใบขึ้นทะเบียน
ส่วนอีก 5 คน อยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบ
หากไม่มีใบขึ้นทะเบียนจะผิดกฎหมาย จะเป็นหมอนวดเถื่อน
ไม่สามารถให้บริการในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ
ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบและเก็บข้อมูล โดยไม่ให้สัมภาษณ์ ซึ่งวันที่ 9
ธ.ค. นายแพทย์สาธารณสุขจ.อุดรธานี จะแถลงข่าวและให้สัมภาษณ์เอง
ด้าน นางนิชาภา อายุ 60 ปี ชาวอุดรธานี ผู้จัดการร้านนวด ชี้แจงว่า ร้านนวดที่นี่เปิดมาตั้งแต่ปี 2548 หมอนวดแผนโบราณที่ร้านมีจำนวนไม่แน่นอน แล้วแต่บางวัน บางครั้งก็เป็น 10 คน บางครั้งก็เหลือ 4-5 คน แล้วแต่จังหวะที่หมอนวดจะมีงานที่อื่น ไปทำงานที่พัทยา ภูเก็ต หรือต่างประเทศ หมอนวดส่วนมากก็จะมาทำชั่วคราว คนที่จะมานวด เราก็จะตรวจสอบว่ามีใบอนุญาต มีการขึ้นทะเบียนหรือไม่ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ทำงานนานหรือไม่
ถามว่ารู้หรือไม่ว่าใครเป็นนวดน้องที่เสียชีวิต เราก็ไม่ทราบ พอลูกค้าเข้ามา เราก็จำไม่ได้ว่ามีลูกค้าคนไหน เข้ามาเมื่อไหร่ แต่ถ้าหากมานวดวันนี้ หรือพรุ่งนี้ เราก็พอจะนึกออกอยู่บ้าง แต่เห็นว่าตามข่าวที่บอก คือ มานวดช่วงตุลาคมปีนี้ ไม่ว่าจะหมอนวดหรือลูกค้าเอง ก็คิดว่าคงจะจำไม่ได้แน่นอน ว่าเคยนวดใครคนไหน เพราะเป็นการไล่เป็นตามคิว วันต่อวัน แต่ก็จะมีอีกประเด็น คือ ลูกค้าประจำที่จะมีหมอนวดประจำ ที่มาใช้บริการบ่อยๆ อันนั้นเขาจะจำกันได้ แต่กรณีนี้ไม่ใช่ เขามาถามหา เราก็ไม่รู้ว่าเคยนวดกับใคร
“ส่วนน้องคนนี้ กรณีนี้ เราไม่รู้ว่าเขามานวดวันไหน บอกตรงๆ ว่าไม่รู้เรื่องเลย ส่วนการนวดหักคอ ส่วนมากหมอนวดที่เราเรียนมานั้นมันไม่มี มันเป็นข้อห้าม แต่หมอนวดที่มาทำงานบางคน ที่ผ่านงานกรุ๊ปทัวร์ ไปต่างประเทศมา หรือไปเรียนรู้จากที่อื่นมา เราก็ไม่รู้ ส่วนมากลูกค้าจะคุยกับหมอนวดตัวต่อตัวว่า วันนี้ไม่ดัดนะ ไม่หักนะ ไม่ดึงนะ นวดเบาๆ ไม่เอาหนัก แล้วแต่ลูกค้าต้องการ แต่บางคนก็บอกอยากดัด หักคอ แต่เราก็จะบอกว่าที่นี่ไม่มีหักคอ มันอันตราย เราก็จะบอกไป แต่ถ้าหากลูกค้าเขาคุยกัน 2 คน เราก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาสื่อสารกันยังไง แต่ยืนยันว่าที่นี่ ตามที่เรียนมา ไม่มีหักคอ ไม่มีดัดคอ เต็มที่ก็แค่ดัดเอว อย่างอื่นเราไม่มี การดัดคอมันอันตรายอยู่แล้ว มีเส้นประสาทที่สำคัญอยู่แล้ว เราก็ไม่รู้ว่ามันอันตรายแบบไหน เพราะก็ไม่ได้เรียนมา”ผจก.ร้านนวด ชี้แจงอีกว่า วันนี้ทราบข่าวตอนเที่ยง
ตอนแรกเขายังไม่ระบุว่าห้องไหน สักพักก็ทราบว่าระบุเป็นห้องนี้
เราก็พยายามเช็กว่าหมอนวดคนไหนที่ดัดคอเป็นบ้าง คนที่นวดครั้งที่ 3
ของน้องยังอยู่ แต่คนนวดคนแรกนั้นยังไม่ทราบว่าเป็นใคร เห็นข่าวแล้วก็ตกใจ
เข่าอ่อนหมดแล้ว ไปไม่เป็น เสียใจที่มารู้ว่าเหตุการณ์มันเกิดขึ้นแบบนี้
เราก็ระวัง บอกลูกค้าอยู่ว่า ถ้าอาการหนักให้ไปหาหมอ การนวดมันก็ได้แค่นิดๆ
หน่อยๆ แต่การบิดคอ เราไม่รู้จริงๆ ว่าใครบิดบ้าง แต่ของตนเองไม่มีการบิด
ไม่ได้เรียนมาแบบนี้ เพราะมันอันตราย มันเป็นคอ ถ้ามันหักไปจะทำอย่างไร